วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เล่นอินเตอร์เน็ต ผ่านเครือข่าย EDGE
การนำโทรศัพท์มือถือมาใช้งานเพื่อเชื่อมต่อเครือข่ายอินเตอร์เน็ต โดยผ่านระบบการสื่อสารเครือข่าย EDGE มีความนิยมกันมากขึ้น จึงขอแนะนำมือถือสุดคุ้ม ในราคาไม่ถึง 6,000 บาท เพื่อใช้งานอินเตอร์เน็ต สำหรับผู้ที่ไม่สะดวกในการขอโทรศัพท์พื้นฐานเพื่อเชื่อมต่อเครือข่าย ADSL โดยเฉพาะผู้ที่อยู่หอ คอนโด หรือผู้ใช้ต้องการความคล่องตัวในการใช้งานนอกสถานที่ โทรศัพท์มือถือยอดนิยมที่ติดอันดับในการค้นหาเป็นอันดับต้นๆคือ Motorola V360 ซึ่งราคาค่าตัวไม่แพง ลูกเล่นเยอะ แต่ปัจจุบัน ไม่พบการวางจำหน่ายมือ 1 แล้ว อาจจะต้องหามือสองมาใช้ แต่ในขณะนี้ โทรศัพท์มือถือติด EDGE หลายๆรุ่น ได้ทยอยลงสนามแข่งด้วยราคาค่าตัวเครื่องใหม่ที่ไม่แพง จึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากทีเดียว ในการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตผ่านเครือข่าย EDGE ด้วยโทรศัพท์มือถือ รอบนี้ ขนมาแต่ Nokia เพราะมีหลายรุ่นลงแข่งในสนาม EDGE แถมตามร้าน แทบหามือถือ Sony Ericsson W300i ไม่ได้เลย ส่วน Samsung E250 ก็ยังน่าเล่นครับ








Nokia 6070 ศึกชิงบังลังก์มือถือ EDGE สุดคุ้ม Nokia 7360, Nokia 6230i, Nokia 6070 แรกเห็นตามร้านมือถือ จะเห็นว่า หลาย ๆ ร้านจะส่งมือถือหนึ่งในสามรุ่นนี้เข้าประกวด เนื่องจากราคาไม่ค่อยต่างกันมาก แม้ว่า Nokia 7360 จะมากับดีไซน์แฟชั่นโฟน กับคอลเลคชั่น L'Amour ก็ตาม ในเมื่อราคามือถือแนวแฟชั่น หล่นลงมาในกลุ่มห้าพันบาท ใครที่ชอบดีไซน์อยู่แล้วคงไม่ปฏิเสธ แต่หากเทียบด้านราคาแล้ว Nokia 6070
กลับมีราคาถูกกว่าสองตัวแรก แต่หากทว่าเทียบสเปคแล้ว Nokia 6230i น่าจะมีภาษีดีกว่าเพื่อน เพราะจอสี TFT 65K กล้อง 1.3 ล้านพิกเซล เพิ่มหน่วยความจำเอาไว้ฟังเพลงได้ ทุกอย่างครบครัน แต่หากคุณต้องการเพียงมือถือที่รองรับการเชื่อมต่อ EDGE ไม่เน้นกล้อง ไม่เน้นฟังเพลง ไม่เน้นการเชื่อมต่อใดๆ คิดว่า 6070 ราคาสบายกระเป๋า (ประมาณ 38xx) แต่หากต้องการฟังเพลงด้วย Nokia 6230i ตอบความต้องการคุณได้เป็นอย่างดี เนื่องจากมีหน่วยความจำในตัว แถมเพิ่มหน่วยความจำแบบ MMC ได้อีกด้วย แถมการเชื่อมต่อ Nokia 6230i ยังกินขาดด้วย Bluetooth อีก สำหรับการพกพานั้น Nokia 6070 จะมีน้ำหนักที่เบากว่ามาก แถมหน้าตายังออกแนวเบสิคโฟนอีก แม้ว่าเจ้าตัวจะสังกัดกลุ่ม Nokia ตระกูล 6 Series ก็ตาม เอาเป็นว่า หากมองเรื่องแฟชั่น ดีไซน์ Nokia 7360 น่าจะถูกใจหลายๆคน แต่สีดำกลับไม่ชอบ หากได้สีสันชมพู สวยไม่เบาสำหรับสุภาพสตรี ส่วน Nokia 6070 นั้นเอาใจคนที่ต้องการเชื่อมต่อ EDGE ในราคาเพียงแค่ 3 พันปลายๆเท่านั้น แต่กับ Nokia 6230i ยังไงก็กินขาด อย่าลืมว่า เสน่ห์ของมือถือรุ่นเก่าที่กลับมาบูมอีกครั้ง จะมีลูกเล่นที่หลายๆคนติดใจก็คือการเปลี่ยนหน้ากากนั่นเอง อย่าลืมสิครับว่า เมื่อก่อนเราใช้มือถือเมื่อ 2 - 3 ปีที่แล้ว สนุกกับการเปลี่ยนหน้ากากแค่ไหน และแน่นอนว่า ลูกเล่นนี้ ไม่มีรุ่นใดในกลุ่มเทียบได้แน่นอน

Nokia 3110 Classic [ภาพจาก Thai Mobile Center] Nokia 3110 Classic เจ้าตัวนี้นับว่าเป็นม้ามืดของวงการทีเดียว แค่เห็นสเปคก็กินขาดรุ่นอื่นๆข้างต้น ด้วยการเชื่อมต่อครบครัน แค่เทียบสเปค รุ่นอื่นๆแทบหงายหลังในราคาเท่ากัน รองรับการเชื่อมต่อ EDGE Class 10/GPRS/WAP 2.0 XHTML/HTML/HSCSD/CSD ด้านการโอนถ่ายข้อมูลก็เพียบพร้อมจริงๆกับ Bluetooth/IrDA, Pop-Port USB2.0 แถมด้านมัลติมีเดียก็ไม่เป็นรองใครด้วย กล้อง 1.3 ล้านพิกเซล กล้องวีดีโอ สนับสนุน FM, Visual Radio, เล่นเพลง MP3, MP4, AAC ครบครันจริงๆ เมื่อเทียบกับ Nokia 6230i ในราคาที่เท่าๆกัน ผมว่า 3110 Classic ขาดเสน่ห์ความคลาสสิคของ Nokia ที่ฮิตติดลมบนในสมัยก่อนด้วยการเปลี่ยนหน้ากากครับ ถ้าหากเทียบเรื่องหน้ากากแล้ว Nokia 6230i ชนะขาดลอยด้านความคลาสสิคแฟชั่นเปลี่ยนหน้ากากแบบสมัย 3310, 3210, 8250, 8210 เลยล่ะครับ




Nokia 6111 ฝาสไลด์จาก Nokia ที่ออกมานานจนราคาจากหมื่นร่วงลงมาในระดับ 59xx เช่นเดียวกัน เทียบกันแล้วสเปคไม่ค่อยต่างกันนัก เพราะจอ 262K เท่าๆกัน กล้อง 1.3 พอๆกับ Nokia 3110 Classic เทียบต่อรุ่น ทุกรุ่นมี FM, Visual Radio อยู่แล้ว แต่ Nokia 6111 ก็ดันเพิ่มหน่วยความจำไม่ได้ซะอีก ทำให้การฟังเพลงถูกจำกัดไป แบบนี้ Nokia 3110 Classic ตีห่างไปอย่างน่าเสียดาย




Nokia 6085 เห็นรูปร่างก็แสนธรรมดา จอด้านนอกไม่ใช่จอสี แต่ภายในน่าสนใจเมื่อระดับราคาหล่นลงมาในกลุ่มห้าพันบาทเช่นกัน ด้วยความสามารถในการเล่นเพลง ถ่ายรูป แม้จะไม่ค่อยเน้นมากนัก แต่ก็น่าสนใจหากจะนำมาใช้เชื่อมต่อ EDGE มากทีเดียว แต่เห็นว่าต้องอัพ Firmware ช่วยแก้ไขปัญหาด้านการฟังเพลงและปัญหากับหน่วยความจำด้วย คงจะต้องเทียบกันแล้วว่า ในระดับราคา 5000 - 6000 บาท ตัวไหนน่าเล่นกว่ากัน โดยดูจากความชอบด้านดีไซน์ ความคล่องตัวในการใช้งาน เรียกว่าการเปรียบมวยยกนี้ มีทั้งแบบฝาพับ สไลด์ และแบบแท่งมาประชันกันเลยทีเดียว





Samsung E-250
สไลด์โฟนจากค่ายซัมซุง โผล่มาประชันกับพี่น้องสายเลือด Nokia กับราคาค่าตัวที่ดิ่งลงมา กับฟังก์ชั่นที่น่าสนใจ จอของค่ายนี้สีสวยอยู่แล้วไม่ต้องห่วง แม้จะเป็น 65K ก็ตามเถอะ กล้อง VGA, MP3, VDO Mpeg4, EDGE Class 10, Bluetooth ครบครันไม่แพ้มือถือตัวอื่นเลย แถมยังมี FM ให้อีก เรียกว่าคุณสมบัติครบเต็มตัวจริงๆ สำหรับการเลือกซื้อมือถือที่รองรับ EDGE คงจะแล้วแต่ความพอใจ เพราะราคาก็พอๆกันอยู่แล้ว คงจะขึ้นอยู่กับความชอบในตัวแบรนด์ การคล่องตัวในการใช้งาน การเชื่อมต่อ และนอกจากนี้ยังมีอีกหลายรุ่นที่น่าสนใจ ลองหาข้อมูลกันดูตามงบประมาณที่ตั้งไว้ครับ แต่เหนือสิ่งอื่นใด ตรวจสอบคุณภาพการรับสัญญาณ EDGE ในพื้นที่ที่คุณใช้งานก่อนซื้อมือถือจะดีกว่า หรือถามเพื่อนที่ทำงานด้วยกันที่บ้านใกล้ๆกัน หรือจะออกอุบายพาเพื่อนที่ใช้มือถือรองรับ EDGE ไปที่บ้านเพื่อขอเช็คสัญญาณ EDGE ก็ไม่ว่ากัน เพราะคงตีเป็นค่าเหล้าอยู่แล้ว นอกจากนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดในการเชื่อมต่อผ่านเครือข่าย EDGE คือ ค่าบริการในการใช้งาน GPRS ตรวจสอบกันให้ดี ว่าคิดเป็นชั่วโมง นาที เหมาจ่ายเป็นรายวัน จะได้นับค่าใช้จ่ายกันได้ถูกต้องเหมาะสม ไม่ใช่ตะบี้ตะบันใช้กัน โดยไม่รอบคอบว่าคิดค่าบริการตามปริมาณการใช้งานข้อมูล [KB] ก็ต้องรับเคราะห์กันไป เพราะค่าบริการอาจสูงร่วมพัน ถึงหมื่นเลยทีเดียว จึงขอให้ตรวจสอบจากค่ายผู้ให้บริการก่อน ไม่ว่าจะเป็นระบบรายเดือน หรือเติมเงินครับ หากสนใจข้อมูล สามารถหาข้อมูลได้จาก ห้องมาบุญครอง ในโซน Cafe PANTIP.COM ได้เลยนะครับ
ขอบคุณข้อมูลจาก : บทความ http://www.pantip.com/


3G หรือ Third Generation เป็นเทคโนโลยีการสื่อสารในยุคที่ 3 อุปกรณ์การสื่อสารยุคที่ 3 นั้นจะเป็นอุปกรณ์ที่ผสมผสาน การนำเสนอข้อมูล และ เทคโนโลยีในปัจจุบันเข้าด้วยกัน เช่น PDA โทรศัพท์มือถือ Walkman, กล้องถ่ายรูป และ อินเทอร์เน็ต
3G เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาต่อเนื่องจากยุคที่ 2 และ 2.5 ซึ่งเป็นยุคที่มีการให้บริการระบบเสียง และ การส่งข้อมูลในขั้นต้น ทั้งยังมีข้อจำกัดอยู่มาก การพัฒนาของ 3G ทำให้เกิดการใช้บริการมัลติมีเดีย และ ส่งผ่านข้อมูลในระบบไร้สายด้วยอัตราความเร็วที่สูงขึ้น
ลักษณะการทำงานของ 3G เมื่อเปรียบเทียบเทคโนโลยี 2G กับ 3G แล้ว 3G มีช่องสัญญาณความถี่ และ ความจุในการรับส่งข้อมูลที่มากกว่า ทำให้ประสิทธิภาพในการรับส่งข้อมูลแอพพลิเคชั่น รวมทั้งบริการระบบเสียงดีขึ้น พร้อมทั้งสามารถใช้ บริการมัลติมีเดียได้เต็มที่ และ สมบูรณ์แบบขึ้น
เช่น บริการส่งแฟกซ์, โทรศัพท์ต่างประเทศ ,รับ-ส่งข้อความที่มีขนาดใหญ่ ,ประชุมทางไกลผ่านหน้าจออุปกรณ์สื่อสาร, ดาวน์โหลดเพลง, ชมภาพยนตร์แบบสั้นๆ เทคโนโลยี
3G น่าสนใจอย่างไร
จากการที่ 3G สามารถรับส่งข้อมูลในความเร็วสูง ทำให้การติดต่อสื่อสารเป็นไปได้ อย่างรวดเร็ว และ มีรูปแบบใหม่ๆ มากขึ้น ประกอบกับอุปกรณ์สื่อสารไร้สายในระบบ 3G สามารถให้บริการระบบเสียง และ แอพพลิเคชั่นรูปแบบใหม่
เช่น จอแสดงภาพสี, เครื่องเล่น mp3, เครื่องเล่นวีดีโอ การดาวน์โหลดเกม, แสดงกราฟฟิก และ การแสดงแผนที่ตั้งต่างๆ ทำให้การสื่อสารเป็นแบบอินเตอร์แอคทีฟ ที่สร้างความสนุกสนาน และ สมจริงมากขึ้น
3G ช่วยให้ชีวิตประจำวันสะดวกสบายและคล่องตัวขึ้น โดย โทรศัพท์เคลื่อนที่เปรียบเสมือน คอมพิวเตอร์แบบพกพา, วิทยุส่วนตัว และแม้แต่กล้องถ่ายรูป ผู้ใช้สามารถเช็คข้อมูลใน account ส่วนตัว เพื่อใช้บริการต่างๆ ผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ เช่น self-care (ตรวจสอบค่าใช้บริการ), แก้ไขข้อมูลส่วนตัว และ ใช้บริการข้อมูลต่างๆ เช่น ข่าวเกาะติดสถานการณ์, ข่าวบันเทิง, ข้อมูลด้านการเงิน, ข้อมูลการท่องเที่ยว และ ตารางนัดหมายส่วนตัว “Always On”
คุณสมบัติหลักของ 3G คือ
มีการเชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายของ 3G ตลอดเวลาที่เราเปิดเครื่องโทรศัพท์ (always on) นั่นคือไม่จำเป็นต้องต่อโทรศัพท์เข้าเครือข่าย และ log-in ทุกครั้งเพื่อใช้บริการรับส่งข้อมูล
ซึ่งการเสียค่าบริการแบบนี้ จะเกิดขึ้นเมื่อมีการเรียกใช้ข้อมูลผ่านเครือข่ายเท่านั้น โดยจะต่างจากระบบทั่วไป ที่จะเสียค่าบริการตั้งแต่เราล็อกอินเข้าในระบบเครือข่าย อุปกรณ์สื่อสารไร้สายระบบ 3G สำหรับ 3G อุปกรณ์สื่อสารไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่โทรศัพท์เท่านั้น แต่ยังปรากฏในรูปแบบของอุปกรณ์ สื่อสารอื่น เช่น Palmtop, Personal Digital Assistant (PDA), Laptop และ PC

วันศุกร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

กลูตาไธโอน .........ไม่ช่วยให้ขาว*-*




ฉลาดซื้อ ย้ำ “กลูตาไธโอน ไม่ช่วยให้ขาว” จากบทความในคอลัมน์ “สวยอย่างฉลาด” ที่เขียนโดย รศ.ดร.พิมลพรรณ พิทยานุกุล คณะเภสัชศาสตร์ ม.มหิดล ในนิตยสารฉลาดซื้อ ฉบับที่ 83 เดือนมกราคม 2551 บอกว่า สารกลูตาไธโอน เป็นสารที่เซลล์ในร่างกายเราสามารถสังเคราะห์ขึ้นได้เอง มีคุณสมบัติเป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง มีหน้าที่ปกป้องเนื้อเยื่อของอวัยวะทุกส่วนโดยการต่อต้านอนุมูลอิสระที่ สะสมอยู่ตามส่วนต่างๆ และกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย ที่สำคัญยังช่วยตับในการทำลายและขจัดสารพิษออกจากร่างกาย โดยกลูตา ไธโอนในธรรมชาติ พบมากในผลไม้ ได้แก่ แตงโม สตรอเบอรี่ องุ่น ผลอโวกาโด ส่วนในผักพบมากใน หน่อไม้ฝรั่ง สำหรับเนื้อสัตว์จะพบได้ใน ปลา และเนื้อแดง เช่น เนื้อหมู เนื้อวัว ดังนั้นควรเลือกรับประทานจากธรรมชาติดีกว่าที่จะหลงไปใช้สารนี้อย่างผิดๆ และขาดความเข้าใจ ส่วน ในเรื่องที่ผู้ประกอบการโฆษณาชวนเชื่อกลูตาไธโอนช่วยให้ผิวขาวได้นั้น ไม่เป็นความจริง เนื่องจากผลข้างเคียงอันไม่พึงประสงค์ที่เกิดจากการของการ ใช้ยากลูตาไธโอนในเรื่องของการยับยั้งการสร้างเซลล์เม็ดสีให้ผิวหนัง รวมทั้งการเปลี่ยนเม็ดสีที่สร้างขึ้นจากสีน้ำตาลดำเป็นเม็ดสีชมพูขาว จึงมีการคิดนำเอาสารชนิดนี้มาใช้เป็นอาหารเสริมโดยหวังว่า จะสามารถเสริมและเพิ่มความเข้มข้นของกลูตาไธโอนในกระแสเลือดให้มากๆ เพื่อหวังผลให้ผิวหน้าขาวอมชมพู แต่ในความเป็นจริงยา เม็ดที่เป็นอาหารเสริมนั้น ทานมากเท่าไหร่ก็จะไม่ได้ผล เพราะสารชนิดนี้จะถูกย่อยสลายและกำจัดออกจากร่างกาย ไม่ถูกดูดซึม หรือการที่แพทย์หลายสำนักได้มีการดัดแปลงโดยทำการฉีดเข้าเส้นหรือเข้ากล้าม เนื้อเช่นเดียวกับการรักษาโรคต่างๆนั้น อาการข้างเคียงของผิวขาวจะเป็นเพียงอาการชั่วคราวเท่านั้น นอกจากนี้การที่ร่างกายได้ รับสารกลูตาไธโอนเป็นเวลานาน ๆ จะทำให้เม็ดสีเมลานิน ทั้งที่ผิวหนังและที่จอตาลดลง ทำให้จอตารับแสงได้น้อยลง เสี่ยงต่อการมองเห็นได้ในอนาคต จึงไม่ควรใช้ยานี้ในทางที่ผิด